ม.หอการค้าไทยมองนโยบายทรัมป์ 2.0 กระทบเศรษฐกิจทางตรงทางอ้อมกดจีดีพีหาย 0.87% มูลค่า 1.6 แสนล้าน แนะรัฐออกแพจเกจกระตุ้นกำลังซื้อช่วงปีใหม่ต่อเนื่อง
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงการจัดทำผลกระทบของนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยคาดจะมีผลกระทบต่อ GDP ไทยลดลง 0.87% คิดเป็นมูลค่ารวมลดลง 160,472 ล้านบาทแบ่งเป็น 1. ผลกระทบทางตรง การส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลง 108,714 ล้านบาท
และ 2. ผลกระทบทางอ้อม การส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีน-สหรัฐฯ ลดลง 49,105 ล้านบาท และการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน ลดลง 2,653 ล้านบาท
ทั้งนี้นโยบายการค้าแบบปกป้องและการเก็บภาษีนำเข้าสูงของทรัมป์ อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์อาจนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทำให้เงินบาทอ่อนค่า
นอกจากนี้นโยบายการค้าแบบปกป้องของทรัมป์ โดยเฉพาะการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10% สำหรับทุกประเทศ จะทำให้สินค้าส่งออกจากไทยมีต้นทุนสูงขึ้นและความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งการเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีนอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีน
สำหรับนโยบายลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าจากไทย โดยทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ อาจลดลง 3,106 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น 10,714 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้งการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้สินค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ยานพาหนะ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น นโยบายลดภาษีและกฎระเบียบภายในสหรัฐฯ อาจทาให้การลงทุนในสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในต่างประเทศการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้งการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าเพื่อทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และของเล่น หากไทยสามารถปรับตัว และขยายการผลิตให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้
นายธนวรรธน์ กล่าวถึง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท ให้ผู้สูงอายุ 60 ปี ช่วงวันตรุษจีน ว่า จะมีผู้ที่ได้รับประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งมาตรการที่ออกมานี้ รัฐบาลเริ่มใช้เงินสอดคล้องกับความเห็นที่หลายภาคส่วนแนะนำ คือ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยไม่ได้ใช้เงิน 3 แสนล้านบาทเต็มจำนวน แต่สงวนการใช้งบประมาณแผ่นดิน และเปิดพื้นที่ของการใช้เงิน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น สงครามทางการค้า, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ดังนั้นจึงมองว่าเป็นนโยบายที่ดี ซึ่งเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีนี้ จะถูกกระตุ้นด้วยภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นหลัก เชื่อว่าบรรยากาศเข้าสู่ปีใหม่หรือไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยจะดีกว่าไตรมาส 3
“รัฐบาลควรทำให้เศรษฐกิจไทยให้แข็งแรงก่อน จึงควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นต่อเนื่อง เช่น มาตรการ Easy e-receipt ซึ่งจะสามารถอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 30,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปีใหม่ได้ โดยในส่วนของการแจกเงินผู้สูงอายุ ต้องดูว่าผู้สูงอายุจะใช้เงินมากน้อยเท่าไร โดยคาดว่าเงินจะหมุนในช่วงแรก หรือช่วงตรุษจีนประมาณ 60% ของวงเงิน อย่างน้อย 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะพยุงเศรษฐกิจได้”