รู้จัก ‘โอทบีเดียนท์’ แบรนด์นมโอ๊ต สิงคโปร์ ปักหมุดไทย เจาะตลาดF&Bไทยโตแรง

รู้จัก ‘โอทบีเดียนท์’ แบรนด์นมโอ๊ต สิงคโปร์ ปักหมุดไทย เจาะตลาดF&Bไทยโตแรง
‘Oatbedient’ แดรี่ โปรดักส์ สัญชาติสิงคโปร์ ใช้สูตรธุรกิจแบบคล่องตัว-สตาฟน้อย พร้อมสร้างแบรนด์ซึมลึกผ่านกลยุทธ์ราคา เจาะคนเจนฯใหม่ในไทย วางเป้าหมาย 'Top3' แบรนด์นมโอ๊ตใน 3ปี

ลิน โซ  กรรมการผู้จัดการบริษัท บี โอทบีเดียนท์ จำกัด ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์แดรี่โปรดักส์ แบรนด์โอทบีเดียนท์ (Oatbedient) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งธุรกิจพร้อมดำเนินการเมื่อปี 2566 เพื่อทำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์หลัก Oatbedient โดยมีบริษัทแม่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ และมีฐานการผลิตสินค้าทำจากนม (Dairy Product) อยู่ในประเทศมาเลเซีย

ขณะที่ไทย ถือเป็นตลาดลำดับที่ 4 ต่อจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย และ มองโกเลียที่แบรนด์ Oatbedient เข้ามาทำตลาดด้วยมองเห็นศักยภาพในอุตสาหกรรม F&B ของไทยที่มีทั้งสีสันและโอกาสทางสินค้าใหม่ๆ ที่ผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างมาก มาโดยตลอด

สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในไทยในเบื้องต้น จะใช้รูปแบบธุรกิจ (Business Model) ที่ยืดหยุ่นเพื่อให้มีความคล่องตัวทั้งการทำงานและการควบคุมต้นทุนในภาพรวมด้านต่าง ๆ ด้วยการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปแบรนด์ Oatbedient  จากประเทศมาเลเซีย เพื่อทำตลาดในไทยไปพร้อมสร้างการรับรู้ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ และแบรนด์สินค้าให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รู้จัก

โดยในส่วนของการทำงาน บริษัทฯ จะใช้ทีม หรือ พนักงานระดับปฏิบัติการ(Operation)ท้องถิ่นในไทย เบื้องต้นบริษัทใช้พนักงานราว  5 อัตราเท่านั้น ร่วมรับผิดชอบดูแลการทำตลาดแบบครบวงจร พร้อมว่าจ้างบริษัทภายนอกเป็นตัวแทนกระจายสินค้าให้กับผลิตภัณฑ์ Oatbedient ในประเทศไทย   

“ด้านสำนักงานของบริษัทใช้การเช่าพื้นที่รูปแบบโค-เวิร์คกิ้ง สเปช บนทำเลใจกลางเมืองย่านธุรกิจ  Just-Co อาคารเกษรอัมรินทร์ ส่วนหนึ่งเพื่อความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทาง และยังสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นธุรกิจ F&B แนวคิดใหม่ ไปพร้อมกันด้วย” ลิน กล่าว

พร้อมเสริมว่า สำหรับสินค้ารายการแรกที่นำเข้ามาทำตลาด คือ นมโอ๊ต (Oat Milk) แบรนด์ Oatbedient  เพื่อเป็นทางเลือกในตลาดอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้บริโภคคนไทยรุ่นใหม่  เพื่อเข้าทั้งในตลาดค้าปลีก และ ตลาดธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ที่กลุ่มหลังพบว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นมโอ๊ต มีสัดส่วนในตลาดอยู่ราว 10% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีผู้เล่นแบรนด์สินค้าราว 2-3 รายที่เข้ามาอยู่ในตลาดก่อนหน้า

ในเบื้องต้น บริษัทฯ จะนำผลิตภัณฑ์นมโอ๊ต Oatbedient เข้ามาทำตลาดในไทยจำนวน 3 รสชาติ คือ รสชาติออริจินัล นมโอ๊ต (Oat Milk) รสชาติช็อคโกแลต (Chocolate Oat Milk) และ รสชาตินมโอ้ตและเมล็ดเจีย (Oat Milk with Oats & Chia Seeds) ใน 2 รูปแบบ คือ

  1. รูปแบบพร้อมดื่มบรรจุกล่อง ขนาด 1 ลิตร วางราคาจำหน่ายปลีก 117  บาท
  2. รูปแบบผงพร้อมชงดื่มแบบซอง ขนาดบรรจุ 12 ชิ้นต่อกล่อง วางราคาจำหน่ายปลีก 199 บาท

“Oatbedient สำนักงานในไทยยังได้เสนอไปยังบริษัทแม่เพื่อขอปรับราคาใหม่สินค้าแบบผงบรรจุซอง 12 ชิ้น 1กล่อง ให้ได้ในราคา 199 บาท ด้วยมองว่าเป็นราคาที่เหมาะสม และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้ง่ายขึ้น จากสินค้าประเภทดังกล่าวทำราคาในตลาดประเทศอื่นก่อนหน้าอยู่ที่ราวๆ 259 บาทต่อกล่อง” ลิน กล่าว

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ Oatbedient ยังวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่มทางเลือก (Alternative Meal) เพื่อรองรับผู้บริโภคชาวไทยที่มองหานมทางเลือกเพื่อดื่มทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมวัว หรือ ธัญพืชอื่นๆ เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมพิทาชิโอ เป็นต้น ที่มีแนวโน้มความต้องการบริโภคในไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อทดแทนการดื่มผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากวัวหรือการทำปศุสัตว์ ที่พบว่ามีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อชั้นบรรยากาศโลกมากกว่า

สำหรับช่องทางการทำตลาดสินค้าจะใช้ 2 รูปแบบหลัก คือ 1. ค้าปลีกทำตลาดออนไลน์ในช่องทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ และ 2. รูปแบบบีทูบีในช่องทางธุรกิจ Food Service โดยเบื้องต้นจะนำสินค้าเข้าไปยังธุรกิจร้านคาเฟ่ ที่มีจำนวนมากในไทย เพื่อแนะนำนมโอ๊ต Oatbedient เข้าไปใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเมนูร้อนเย็นของคาเฟ่ ต่างๆ

นอกจากนี้ Oatbedient ยังจะใช้กลยุทธ์การทำตลาดผ่านการสร้างชุมชน (Community) ต่างๆ อาทิ คอมมูนิตี้ด้านการดูแลสุขภาพ ทั้งในศูนย์สุขภาพ ฟิตเนส, เวลเนสส์, สถานศึกษา ฯลฯ มาแบ่งปันเรื่องราวทั้งที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ และด้านอื่นๆ เพื่อสร้างตลาดให้เติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

โดยหลังจากนี้ บริษัทยังมีแผนนำเข้าสินค้านมโอ๊ต Oatbedient เข้ามาทำตลาดเพิ่มอีก 4  รสชาติใหม่ ในกลุ่ม Series Café คือ ชาเขียว (Matcha) มอคค่า (Mocha) ลาเต้ (Latte)  และ นมโอ้ตไลท์ (Oat Milk Lite) คาดในปี 2568 จะมีราว 7 รายการ (SKU) ทำตลาดในไทย พร้อมวางแผนขยายการทำตลาดสินค้าใหม่ในตลาดแดรี่โปรดักส์เพิ่มเติม จากปัจจุบันได้ทดลองนำผลิตภัณฑ์ไอศครีม เข้าไปบริการฟู้ดเซอร์วิสให้กับโรงแรมรายใหญ่แห่งหนึ่งของไทยแล้ว

ลิน กล่าวทิ้งท้ายว่า “จากแนวทางการเข้ามาทำตลาดของ Obidient ในไทย บริษัทวางเป้าหมายขึ้นเป็น Top3 แบรนด์สินค้านมโอ๊ตภายใน 3 ปีนับจากนี้  พร้อมอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าโอทบีเดียนท์ ด้วยในอนาคต”  

TAGS: #โอทบีเดียนท์ #Oatbedient #นมโอ๊ต