วิจัย กรุงศรี มอง เงินเฟ้อเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย หนุนกนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.50% ในช่วงที่เหลือของปี
วิจัย กรุงศรี ประเมินว่า รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น การประชุมคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) วันที่ 4 มิถุนายน เห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ จำแนกเป็น (i) บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือจ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย หรือสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (55 จังหวัด) มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามค่าใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท/คน และ (ii) นิติบุคคล ให้นำรายจ่ายจากค่าจัดการอบรม สัมมนา ให้แก่พนักงาน มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่าของรายจ่ายจริง สำหรับที่จัดขึ้นในเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับการจัดในพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองหลัก ทั้งนี้ มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
ทางการคาดหวังว่ามาตรการลดหย่อนภาษีดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ ช่วยสนับสนุนกิจกรรมและภาคธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยส่งเสริมการจ้างงานและการบริโภคอีกด้วย โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยอยู่ที่ 67.6 ล้านคน-ครั้ง สำหรับทั้งปี 2567 วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศอยู่ที่ 195 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นจาก 185 ล้านคน-ครั้ง ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม แรงส่งการเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่เข็มแข็งนัก สะท้อนจาก (i) อุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลงหลังจากสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการ Easy E-Receipt ในช่วงกลางไตรมาสแรกของปี (ii) ภาคท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง Low season จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปรับลดลงต่ำกว่า 3 ล้านคนติดต่อกัน และ (iii) ความอ่อนแอของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน หนุนกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 12 มิถุนายนนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 1.54% YoY จาก 0.19% เดือนเมษายน โดยอยู่ในแดนบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และสูงสุดในรอบ 13 เดือน เป็นผลจาก (i) ปัจจัยชั่วคราวจากฐานที่ต่ำของค่ากระแสไฟฟ้าในปีก่อน (ii) การทยอยปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในประเทศจนไปแตะที่ระดับ 32.94 บาทต่อลิตร ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และ (iii) ราคาอาหารสดที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะผักสด และไข่ไก่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทำให้มีปริมาณผลผลิตน้อยลง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.39% จาก 0.37% เดือนเมษายน สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี (มกราคม-พฤษภาคม) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ -0.13% และ 0.42% ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมได้กลับเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 สำหรับในช่วงที่เหลือของปี วิจัยกรุงศรีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว เนื่องจาก (i) ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับลดลงหลังผ่านพ้นภาวะอากาศที่ร้อนจัด (ii) มาตรการบรรเทาค่าครองชีพจากการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของครัวเรือน อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% และเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 0.7%
สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย วิจัยกรุงศรีประเมินจากหลายปัจจัยบ่งชี้ว่าโอกาสปรับลดดอกเบี้ยมีน้อยลงอย่างชัดเจน ทั้งจากตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2567 ที่เติบโตใกล้เคียงกับการประมาณการของธปท. ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมาย นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ตลอดจนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ของภาครัฐหลายแห่งได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ซึ่งช่วยลดความจำเป็นสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวงกว้าง ดังนั้น วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่าการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% และมีแนวโน้มตรึงไว้ตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้